ตัววิ่ง

ยินดีต้อนรับสู่บล็อกภาษาอังกฤษ

วันพุธที่ 20 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556


หลักการใช้ Tense ทั้ง 12


Tense


Tense   คือรูปแบบ(หรือโครงสร้าง)ของกริยา  ที่แสดงให้เราทราบว่า  การกระทำหรือเหตุการ นั้นๆเกิดขึ้นเมื่อใด   ซึ่งเรื่อง  tense  นี้เป็นเรื่องสำคัญ  ถ้าเราใช้    tense  ไม่ถูก  เราก็จะสื่อภาษากับเขา ไม่ได้  เพราะในประโยคภาษาอังกฤษนั้นจะอยู่ในรูปของ  tense  เสมอ  ซึ่งต่างกับภาษาไทยที่เราจะมีข้อความบอกว่าาเกิดขึ้นเมื่อใดมาช่วยเสมอ   แต่ภาษาอังกฤษจะใช้รูป  tense  นี้มาเป็นตัวบอก  ดังนี้การศึกษาเรื่อง  tense  จึงเป็นเรื่องจำ เป็น.
Tense  ในภาษาอังกฤษนี้จะแบ่ง ออกเป็น  3  tense  ใหญ่ๆคือ
1.     Present   tense        ปัจจุบัน
               2.     Past   tense              อดีตกาล
               3.     Future   tense          อนาคตกาล
ในแต่ละ  tense ยังแยกย่อยได้  tense  ละ  4  คือ
              1 .   Simple   tense    ธรรมดา(ง่ายๆตรงๆไม่ซับซ้อน).
              2.    Continuous  tense    กำลังกระทำอยู่(กำลังเกิดอยู่)
              3.     Perfect  tense     สมบูรณ์(ทำเรียบร้อยแล้ว).
              4.     Perfect  continuous  tense  สมบูรณ์กำลังกระทำ(ทำเรียบร้อยแล้วและกำลัง ดำเนินอยู่ด้วย).
อ่านเพิ่มเติม

If Clause
If Clause หรือ Conditional Sentence แบ่งได้ 4 รูปแบบ ดังนี้1. Zero Condition : เรียกว่า Pesent Real ใช้นำเสนอ ความจริงหรือเป็นเหตุเป็นผลหรือธรรมชาติ
If + Subject + v1 , Subject + v1
Example: If I travel abroad, I take my passport.
2. First Condition : เรียกว่า Future Possibility ใช้นำเสนอ ความจริงหรือเหตุการณ์ที่มีแนวโน้มว่าจะเกิด(ในอนาคต)
If + Subject + v1 , Subject + will + v1
Example: If it rains later, we'll get wet.
3. Second Condition : เรียกว่า Present Unreal ใช้นำเสนอ สิ่งที่ไม่เป็นจริงหรือมีโอกาสน้อยที่จะเกิดขึ้น(ในอนาคต)
If + Subject + v2 , Subject + would + v1
Example: If I were you, I would take the bus to university.
4. Third Condition : เรียกว่า Past Real ใช้นำเสนอ สิ่งที่ไม่เป็นจริงหรือมีโอกาสน้อยที่จะเกิดขึ้น(ในอดีต)
If + Subject + had + v3 , Subject + would + have + v3
Example: If I had known David, I wouldn't have married him.